มุมขอเล่าครับ
1.Cinema Paradiso (1988) (วิมานมายา)
(รายละเอียด เลื่อนดูด้านล่างครับ)
Code:Cinema Paradiso ของปรมาจารย์ จูเซปเป ทอร์นาทอเร ต้องขอยกให้เป็นหนังสุดประทับใจ ไร้ขีดจำกัดของกาลเวลาจริงๆ ไม่ว่า เวลาจะผ่านไปนานเท่าไร ได้ดูหนังเรื่องนี้ ก็ต้องอิน จนน้ำตาไหลทุกที ยิ่งเวลาผ่านไปนานมากเท่าไร อายุมากขึ้นเท่าไหร่ ต่อมน้ำตาก็ยิ่งทำงานหนักมากขึ้นเท่านั้น ต้องให้เครดิต ความสามารถของเหล่าทีมงาน ไม่ว่าจะเป็น ผกก นักแสดง บทหนัง และ เพลงประกอบอันยอดเยี่ยม โดยเฉพาะบทหนัง จี้ได้ตรงจุดหัวใจของผู้ชม ทุกเพศ ทุกวัย ทำให้ผู้ชมมีอารมณ์ร่วมกับหนังได้โดยง่าย แผ่นบีดี เรื่องนี้มากับระบบเสียง dts hd master 2.0 สุดเก๋า สุดคลาสสิก จริงๆ เลยนะเนี่ย เนื่องจากเป็นหนังที่ไร้ขีดจำกัดของกาลเวลา ก็เลยเอา ที่เคยเล่ามาแล้ว สมัยเป็น ดีวีดี นู้น...มาแปะแบบไม่ต้องแก้ไขอะไรทั้งน้าน.. ดังภาษิตที่ว่า "เหล้าเก่า ในขวดใหม่" นั่นเอง เรื่องนี้มีเก็บไว้นานแล้วยังไม่ได้ดูเลย พอดีมีท่านผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการท่านนึง ให้หาเรื่องนี้ให้ เลยนึกอยากดูขึ้นมาทันที เนื้อเรื่องเล่าถึง เกาะเล็กๆแห่งหนึ่ง ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เพิ่งยุติลง ผู้คนมีความยากลำบาก มีเพียงโรงหนังชื่อ Cinema Paradiso เท่านั้น ที่เป็นที่ให้ความสุขความบันเทิงแก่ผู้คน โดยมีตาแก่ "อัลเฟรโด้" เป็นคนฉายหนังประจำเมือง และมีเด็กชาย "โตโต้ "ที่ฉลาด น่ารัก และหลงใหลในการดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ที่ชอบมาขลุกตัวอยู่ที่โรงหนังแห่งนี้ ทั้งสองเป็นคนที่รักการดูหนังเหมือนกัน ดูหนังเรื่องเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็ไม่เบื่อ ทำให้เกิดมิตรภาพต่างวัยขึ้น เนื้อเรื่องจะเป็นอย่างไร... ลองหามาชมดูนะครับ ซึ้ง มั๊กๆขอบอก ฉากที่ดูแล้วอมยิ้ม -ฉากที่บาทหลวงประจำเมือง ทำหน้าที่เป็นคนเซ็นเซอร์หนัง ที่มีฉากจูบ -ฉากที่ อัลเฟรโด้ ขอให้โตโต้ ช่วยทำข้อสอบ -ฉากในห้องเรียน 5*5= ต้นคริสมาส ฉากที่ประทับใจ -ฉากที่ อัลเฟรโด้ ฉายหนังไปที่กำแพง เพื่อให้คนที่ไม่มีตังซื้อตั๋วได้ดู -ฉากที่ อัลเฟรโด้ พูดให้ โตโต้ ไปจากเมืองนี้ “พวก เราแต่ละคนต่างมีดวงดาวให้ตามไปไขว่คว้า จงไปจากที่นี่เสียเถิด อยู่ที่นี่ไปวันๆ เธอคิดว่ามันเป็นศูนย์กลางของโลก เธอคิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะไม่เปลี่ยนแปลง แล้วเธอลองจากไป ปีหนึ่ง หรือสองปี เมื่อเธอกลับมาทุกสิ่งทุกอย่างก็จะเปลี่ยนไป สิ่งที่เคยเชื่อมต่อกับเธอถูกทำลายลง อะไรที่เธอกลับมาตามหาก็ไม่อยู่ที่นั่นอีกต่อไป อะไรที่เคยเป็นของเธอก็หายสาบสูญ เธอต้องไปนานๆ หลายๆ ปี เกินกว่าที่เธอจะสามารถกลับมาที่นี่แล้วยังเจอผู้คนที่เธอรู้จัก” (ซึ้งมั๊กๆๆ) -ฉากที่ แม่ พูดกับ โตโต้ ตอนท้ายเรื่อง “แม่ไม่เคยต้องการคำอธิบายอะไรเลย ลูกไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไร แม่คิดเสมอว่ามันเป็นสิ่งที่ดี ลูกทำถูกแล้วที่จากไป ทำในสิ่งที่ต้องการจะทำ ทุกครั้งที่แม่โทรไปหาลูก เสียงผู้หญิงที่รับโทรศัพท์ไม่เคยซ้ำกันเลย แต่แม่ไม่เคยได้ยินสักเสียงเลยที่รู้สึกได้ว่าเธอรักลูก แม่รู้สึกได้ แม่คิดมาตลอดและไม่เคยเปลี่ยน แม่อยากเห็นลูกลงหลักปักฐาน รักใครสักคน แต่ชีวิตของลูกอยู่ที่นั่น ที่นี่มีแต่ผีทั้งนั้น ไปเถอะลูก โตโต้” (น้ำตาจะไหลแล้ว...) -ฉากที่ โตโต้ ดูของฝากที่ อัลเฟรโด้ ทำไว้ให้ (น้ำตาไหลแล้วครับ...) FINE...
2.The Adventures of Tintin (2011)(การผจญภัยของตินติน)
(รายละเอียด เลื่อนดูด้านล่างครับ)
Code:The Adventures of Tintin เดิมเป็นซีรี่ส์การ์ตูน ของศิลปินวาดภาพชาวเบลเยี่ยม จอร์จส์ เรมี่ ที่ใช้นามปากกาว่า แอร์เช สไตล์การวาดรูปของเขา ลายเส้นซึ่งเต็มไปด้วยรายละเอียด ที่สร้างสรรค์จินตนาการให้กับผู้อ่านเป็นอย่างมาก ประกอบกับเนื้อเรื่อง ที่ดูซับซ้อนลึกลับแต่ดำเนินไปอย่างราบเรียบ และการผจญภัยอันน่าตื่นเต้น ณ สถานที่ต่างๆ ชวนให้ติดตาม ทำให้ ตินติน กลายเป็นซีรี่ส์การ์ตูนสุดฮิต คลองใจผู้อ่านทั่วโลก ซึ่งมียอดขายกว่า 350 ล้านเล่มทั่วโลก และมีการแปลมากถึง 80 ภาษา และแฟนพันธ์แท้ ตินติน อีกคนนึง ก็ คือ สตีเว่น สปีลเบิร์ก ป๋าแกหลงใหล และชื่นชม ตั้งแต่ได้อ่านหนังสือ ของ แอร์เช ครั้งแรก ทำให้มีแนวคิดที่จะเอา ตินติน โลดแล่นบนจอยักษ์ ตั้งแต่ปี 1983 แต่ติดปัญหา ทั้งเรื่องบทหนังที่ไม่ลงตัว และ เรื่องเงินทุนจากค่ายหนัง ประกอบกับ ติดทำหนัง อินเดียน่า โจนส์ ทำให้โครงการนี้ไม่มีความคืบหน้า จนกระทั่งถึงปี 2008 ทุกอย่างลงตัว พร้อมที่จะให้ตินติน ขึ้นสู่จอยักษ์ แจ็คสัน "สวัสดีครับพี่ มาถึงที่นี่ มีอะไรให้ผมรับใช้เหรอครับ" สปีลเบิร์ก "พอดีพี่คิดจะทำแอนิเมชั่น 3 มิติสักเรื่องนึงนะ" แจ็คสัน"เรื่องอะไรละพี่" สปีลเบิร์ก"ตินติน ของแอร์เช นะ" แจ็คสัน"ผมเป็นแฟนคลับตัวยงของเขาตั้งแต่เด็กๆ เลยนะพี่" สปีลเบิร์ก"งั้นก็ดีเลย จะได้คุยกันเข้าใจง่ายหน่อย พี่อยากทำตินติน 3 มิติที่ดูร่วมสมัย แต่ยังคงรักษาเอกลักษณ์ต่าง ของเดิมเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นลายเส้น โทนสี องค์ประกอบที่โดดเด่นต่างๆ" แจ็คสัน"ต้องใช้ โมชั่น แคพเจอร์ เลยพี่ " สปีลเบิร์ก"เอาขนาดนั้นเลยเหรอ แล้วให้บริษัทไหนทำดีละน้องรัก" แจ็คสัน"วีต้า ดิจิตอล เลยพี่ ที่ทำวิชวลเอฟเฟคท์ให้กับ the lord of the rings กับ avatar มาแล้้ว" สปีลเบิร์ก"บริษัทของน้องรัก ชิมิ ชิมิ" แจ็คสัน"ได้ยินไม่ถนัดเลย คันหูไม่รู้เป็นอะไร" สปีลเบิร์ก"โอเค น้องรัก ให้วีต้า ดิจิตอล จัดการเลย" จากนั้น ทั้งคู่ก็ปาร์ตี้สังสรรค์กันอย่างเมามัน สปีลเบิร์ก"ปายเทียวกันหมาย..." แจ็คสัน"จะปายหนายละพี่" สปีลเบิร์ก"พี่จะพาปายกินตาบ...." หลังจากเวลาผ่านไป 2 ปี การศึกษา ค้นคว้า พัฒนา เขียนบท คัดเลือกนักแสดง ก็เสร็จสิ้น และใช้เวลาอีกเกือบ 2 ปี สำหรับขั้นตอน เพอร์ฟอร์แมนซ์ แคพเจอร์ สร้างภาพแอนิเมชั่น ตัดต่อและใส่เพลงประกอบ ในที่สุดปลายปี 2011 ตินติน ก็ได้ขึ้นสู่จอยักษ์ สมตามความตั้งใจของเหล่าทีมงานผู้สร้าง และ ณ บัดนาว แผ่นบีดี 3d ตินติน ก็ตกมาอยู่ในมือผมเรียบร้อยโรงเรียนจีน จะช้าอยู่ไย ใส่แผ่นเข้าเครื่องในบัดดล เวลาผ่านไป 106 นาที ไวเหมือนโกหก จบแล้วเหรอเนี่ย ในส่วนของเนื้อเรื่อง สำหรับเหล่าสาวก ตินติน คงมีความสุขที่ได้เห็น ตินติน โลดแล่นบนจอยักษ์ และได้ระลึกถึงตอนต่างๆที่เคยอ่านในหนังสือ เรื่องนี้ได้หยิบเอา 3 ตอน (ก้ามปูทอง , ความลับของเรือยูนิคอร์นและขุมทรัพย์โจรสลัด) จากทั้งหมด 24 ตอน มาเรียบเรียง ดัดแปลงใหม่ สำหรับคนที่ไม่เคย อ่าน ตินติน เลย อาจจะรู้สึกว่า เนื้อเรื่อง ไม่เร้าใจ ไม่ตูมตามเว่อร์เหมือน แอนิเมชั่นฝั่งเมกาเลย สาเหตุ ก็เพราะ ป๋าสปีลเบิร์ก แกต้องการคงเอกลักษณ์ที่โดดเด่นต่างๆ ของต้นฉบับเดิมไว้ และ ป๋าแกก็ทำได้ดีด้วยสิ ทำให้ดูแล้วอาจจะรู้สึกว่าเนื้อเรื่อง มัน เอื่อยๆ แอคชั่นไม่มันส์เวอร์เท่าที่ควร ทั้งๆที่มีชื่อ สปีลเบิร์ก กับ แจ็คสัน ห้อยท้าย ถึงมันจะไม่มันส์เว่อร์เหมือนแอนิเมชั่นเมกา แต่มันมีความเก๋าคลาสสิคของแอนิเมชั่นยุโรปสูงทีเดียว ในส่วนของภาพ ต้องบอกว่าเยี่ยมมั่กๆ สวยงาม สมจริง ต้องให้เครดิต โมชั่น แคพเจอร์ และ ความสามารถของนักแสดงอันยอดเยี่ยม โดยเฉพาะ แอนดี้ เซอร์กิส ที่รับบทเป็น กัปตันแฮ็ดด็อก หลายๆฉาก ไม่ว่าจะเป็นฉากดราม่า ตลก หรือ แอคชั่น ดูแล้วเหมือนเป็นคนจริงๆ ไม่ว่า จะเป็นสีหน้า แววตา ดูแล้ว ต้องบอกว่า มีอารมณ์ร่วมมั่กๆ และอีกส่วนที่ชอบ คือ ภาพประกอบสถานที่ต่างๆ เหมือนจริง สวยงาม ทำให้รู้สึกเหมือนได้ไป ท่องเที่ยวกับ ตินติน พอถึงจุดชมวิวอันสวยงาม ก็หยิบเจ้า d50 คู่ใจ ขึ้นมาลั่นชัตเตอร์ ซักสองสามแชะ! จุดเด่นที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งของภาพ ก็คือ 3d เรื่องนี้ใช้ประโยชน์จาก 3d ได้คุ้มค่ามากๆ จะเห็นได้ในฉากแแอคชั่นหลายๆฉาก ไม่ว่าจะเป็นฉาก ตินติน หลบรถยนต์กลางถนน รถยนต์วิ่งทะลุจอแทบทุกคัน ลุ้นสุดๆ ไม่ว่าจะเป็นฉาก เครื่องบินใบพัด บินทะลุจอ ตื่นเต้น เร้าใจสุดๆ ไม่ว่าจะเป็นฉาก จินตนาการของ แอนดี้ เซอร์กิส ที่ตัดภาพไปมาระหว่างเหตุการณ์จริงกับจินตนาการ น้ำทะเลเปียกหน้าเลยฉากนี้ ไม่ว่าจะเป็นฉาก แซ๊งค์แมงกาไซด์ของตินติน เป็นฉากเด็ดของหนังเรื่องนี้เลย บอกได้คำเดียวว่ามันส์ทะลุจอ ไม่ว่าจะเป็นฉาก เครนปะทะเครน ต้องคอยหลบสิ่งของทะลุจอให้ดีๆ หัวเกือบแตก ในส่วนของเสียง ไม่มีที่ติสำหรับ dts hd master 7.1 ฟร้อนท์จัดหนัก เซอร์ราวด์จัดเต็ม ในทุกๆฉากแอคชั่น ในส่วนของเพลงประกอบ เยี่ยมมากๆ ทำให้หนังดูสมจริง ลึกลับ ซ่อนเร้น ตื่นเต้น ลุ้นระทึก ตลก เศร้าเหงาเพราะรัก... จากเหตุผลทั้งหมดนี้ ไม่ว่าจะเป็น ชื่อของ แอร์เช อัจฉริยะด้านลายเส้นที่ละเอียดซับซ้อน เหมือนอัดภาพ24เฟรมไว้ในภาพเดียว ไม่ว่าจะเป็น ชื่อของ สปีลเบิร์ก พ่อมดแห่งวงการฮอลลี่วู้ด ที่สามารถเสกสรรค์ปั้นแต่งทุกอย่างให้เกิดขึ้นจริงได้ ไม่ว่าจะเป็น ชื่อของ แจ็คสัน หมอผีแห่งวงการซีจี ที่เสกโมชั่น แคพเจอร์ จนโลกต้องตะลึง ไม่ว่าจะเป็น ชื่อของ จอห์น วิลเลี่ยมส์ ปรมาจารย์ด้านซาวน์ประกอบ เป็นขาประจำทำซาวด์ให้กับ สปีลเบิร์ก แทบทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น ชื่อของนักแสดงฝีมือพระกาฬ ทำให้ผลของโมชั่น แคพเจอร์ ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งยวด ไม่ว่าจะเป็น เรื่องภาพ สวยงาม สมจริง ประดุจ คนแสดงจริง ไม่ว่าจะเป็น เรื่องเสียง บันทึกมาเต็มๆบิต ไม่มีเม้ม ไม่มีกั๊ก ไม่ว่าจะเป็น พล็อตเรื่อง สุดเก๋า สุดคลาสสิค ต้องขอยกให้ บีดี 3d แผ่นนี้ เป็นแอนิเมชั่นขึ้นหิ้งของฝั่งเมกา สำหรับผมเลยครับ ปล ตินตินฉบับป๋าสปีลเบิร์กกำกับ หลายๆฉากดูแล้วเหมือนดู อินเดียน่า โจนส์ฉบับแอนิเมชั่นเลยอะ ได้ยินว่าภาคสอง ป๋าแจ็คสัน จะมานั่งแท่น ผกก แทน น่าจะได้เห็น ตินติน ผจญภัยในแดนมิดเดิลเอิร์ธ เป็นแน่แท้ 55+
3.The Secret World of Arrietty (2010)(อาริเอตี้ มหัศจรรย์ความลับคนตัวจิ๋ว)
(รายละเอียด เลื่อนดูด้านล่างครับ)
Code:Arrietty (อาริเอตี้ มหัศจรรย์ความลับคนตัวจิ๋ว) เป็นผลงานล่าสุดของสตูดิโอสุดเลิฟ จิบลิ นั่นเอง ซึ่งเรื่องนี้ดัดแปลงมาจากนิยายขายดี the borrowers (คนตัวจิ๋ว) ของแมร์รี่ นอร์ตัน โดยมี ฮิโรมาสะ โยเนบายาชิ มานั่งแท่นกำกับเป็นครั้งแรก และมี ท่านปรมาจารย์ ฮายาโอะ มิยาซากิ มาช่วยเขียนบทด้วย แน่นอน ความเป็น จิบลิ ยังคงโดดเด่น เหมือนเรื่องก่อนๆ ไม่ว่าจะเป็นภาพ ลายเส้น สวยงามสุดคลาสสิค เพลงประกอบสุดไพเราะ เพราะพริ้ง เรื่องนี้ ได้สาวฝรั่งเศส เซซีล กอร์เบล มาขับร้อง น้ำเสียงของชี ฟังทีไร เหมือนต้องมนต์สะกด เคลิ้มตามทุกที ที่ได้ฟัง ในส่วน เนื้อเรื่อง ก็ยังคงแฝง ด้วยปรัชญา จิตวิญญาณ ธรรมชาติ และ ความผูกพันธ์ เหมือนเช่นเคย โดยครั้งนี้ ถ่ายทอด ผ่านมุมมองของ ครอบครัวคนตัวจิ๋ว ที่ดำรงค์ชีวิตอยู่ได้ ด้วยการแอบ หยิบยืม สิ่งของต่างๆ จากคนตัวโต สำหรับ เรื่องนี้ ถ้าดูเพียงผิวเผิน อาจจะรู้สึกว่า หนังมันดูเรียบง่าย ขาดๆ เกินๆ ในหลายๆ องค์ประกอบ แต่ ถ้าดูมากกว่า 1 รอบ จะพบความละเมียดของหนัง ไม่ว่าจะเป็นรายละเอียดของภาพต่างๆที่เขียนขึ้นมา หรือ แง่คิด ปรัชญาต่างๆ ที่สอดแทรกอยู่ในตัวหนัง ยิ่งดูหลายรอบเท่าไหร่ ก็ยิ่งเก็บรายละเอียดต่างๆได้มากขึ้นเท่านั้น เรื่องนี้ นอกจากจะทำรายได้สูงสุดในญี่ปุ่นถึง 9.25 พันล้านเยนแล้ว ยังได้รับรางวัล แอนิเมชั่นยอดเยี่ยมแห่งปีของญี่ปุ่นด้วย สมกับเป็นหนังของ สตูดิโอสุดเลิฟ อันดับหนึ่งในดวงใจของผม ตลอดกาลเลย... ปล ชอบประโยคนี้ของ อาริเอตี้ "พวกเราไม่ยอมแพ้ ง่ายๆหรอกนะ" ได้ยินแล้วรู้สึกถึง กำลังใจที่เต็มเปี่ยมที่อยู่ภายใน และ พร้อมที่จะเผื่อแผ่ให้กับคนที่ขาดกำลังใจที่จะต่อสู้
4.Real Steel (2011)( ศึกหุ่นเหล็กกำปั้นถล่มปฐพี )
(รายละเอียด เลื่อนดูด้านล่างครับ)
Code:Real Steel หนังเรื่องนี้ลงโรง ในช่วงเวลาใกล้ๆกับ Tin Tin ของป๋าสปีลเบิร์ก กับ ป๋าแจ็คสัน แน่นอนกระแสเป็นรองพอสมควร ไม่ว่าจะเป็นพล๊อตเรื่อง หรือ ชื่อ ผกก การันตีห้อยท้าย แต่ สำหรับคนที่ได้ตีตั๋ว เข้าไปดูแล้ว คงต้องบอกว่า มันไม่แน่หรอกนาย!! ส่วนตัว ก่อนดูคาดหวัง อย่างเดียว คือ ฉากหุ่นฉะกันบนสังเวียน ขอซีจีเนียนๆ เสียงแน่นๆ เป็นอันสุขีสโมสรแล้ว เพราะหนังหุ่นยนต์ ช่วงหลังๆ เนื้อเรื่อง ไม่ค่อยสร้างความประทับใจสักเท่าไหร่ เรื่องนี้ก็คงไม่น่าจะแตกต่างกัน เรื่องนี้ ได้ป๋า ชอว์น เลวี มานั่งแท่น ผกก ซึ่งปกติ ป๋าแกกำกับแต่หนัง ครอบครัว ตลก แต่มากำกับหนังแอ็คชั่น จะเป็นยังไงหนอ ในส่วนของซีจี ป๋าแก บอกว่า ใช้เทคนิคเดียวกับ Avatar ซึ่งจะได้เห็นหุ่นยนต์ฉะกัน มีเศษโลหะกระเด็นออกมา เหมือนเศษเหงื่อของนักมวย เวลาต่อยกันจริงๆ แบบนี้ก็เข้าทางผมเลยสิป๋า พอดูเรื่องนี้จบแล้ว ก็ต้องบอกว่า ฉากแอ็คชั่นบนสังเวียนมันส์หยดติ๋งๆ ความรู้สึกเหมือนดูนักมวยคู่เอก ฉะกันบนเวที ช่วงเวลาระหว่างชกต้องบอกว่า ลุ้นแทบจะกลั้นหายใจเลย จะเริ่มหายใจเข้าได้ ก็ตอนได้ยินเสียงระฆังหมดยกเท่านั้น ในส่วนของซีจี ก็ต้องบอกว่าเนียนมากๆ ดูไม่ออกเลยว่า ฉากไหนใช้ซีจี ฉากไหนใช้หุ่นยนต์จริง แค่นี้ก็แฮปปี้สุดๆแล้ว แต่สิ่งที่เป็นเซอร์ไพร์สของหนังเรื่องนี้ ก็คือ ความเป็นดราม่าของหนัง พล๊อตเรื่องดูจะเป็นเหมือนหนังสูตรสำเร็จ ทั่วๆไป คือดูแค่ 10 นาทีแรก ก็เดาตอนจบได้ไม่ยากนัก แต่การดำเนินเรื่อง ที่ป๋าเลวี พยายามทำให้คนดู มีอารมณ์ร่วมไปกับหนัง ไม่ว่าจะเป็นการค่อยๆ พัฒนาความสัมพันธ์อันดี ของ พ่อ(ฮิวจ์ แจคแมน) กับ ลูก(ดาโกตา โกโย) ไม่ว่าจะเป็นบุคลิกของ พ่อ(ฮิวจ์ แจคแมน) ดูแล้วน่าหมั่นไส้ ไม่ว่าจะเป็นบุคลิกของ ลูก(ดาโกตา โกโย) ดูแล้วน่าเอาใจช่วย ไม่ว่าจะเป็นบุคลิกของ หุ่นยนต์ (อะตอม) ดูแล้วเหมือนมีชีวิตจริง ทำให้หนังดูแล้วประทับใจมากๆ น้ำตาแทบเล็ด ขอปรบมือดังๆ ให้ ผกก และ นักแสดง เลยครับ ฉากแอคชั่นสุดมันส์ -แอมบุช ปะทะ วัวกระทิง สมน้ำหน้าชาร์ลี ประมาทดีนัก -น้อยซี่บอย ปะทะ ไมดัส สมน้ำหน้าชาร์ลี อวดดีนัก -อะตอม ปะทะ เมโทร อึดจริงๆนะ อะตอม -อะตอม ปะทะ ทวินซีตี้ อัพเพอร์คัทขวา เจ๋งมาก อะตอม -อะตอม ปะทะ ซุส โปรแกรมคอมพิวเตอร์ หรือ จะ สู้ประสบการณ์จริงของมนุษย์ จริงมั้ย ชาร์ลี ฉากดราม่าสุดประทับใจ -ฉากแม็กซ์ สั่งการ น้อยซี่บอย ด้วยภาษาญี่ปุ่น มันเท่ห์มากสำหรับสาวกคอเกมส์ญี่ปุ่น -ฉากหลังจาก น้อยซี่บอย ปะทะ ไมดัส "พ่อจะทิ้งหุ่นนี้ไป เหมือนที่พ่อเคยทิ้งผมใช่มั้ย" เริ่มกระตุ้นอารมณ์แล้ว -ฉาก แม็กซ์ ขุดอะตอมออกมาจากโคลน เริ่มสร้างความผูกพันธ์ขึ้นมาแล้ว -ฉาก เบลีย์ บอกความเหนื่อยล้า อยากจะหยุด กับ ชาร์ลี เริ่มสร้างความสำนึกให้กับชาร์ลีแล้ว -ฉาก แม็กซ์ คุยกับ อะตอม "ความลับนี้รู้แค่เราสองคนนะ" เริ่มสร้างชีวิตให้กับอะตอมแล้ว -ฉาก เบลีย์ เล่าเรื่อง ชาร์ลี ให้ แม็กซ์ฟัง เริ่มเปลี่ยนทัศนะคติที่ไม่ดีของแม็กซ์ที่มีต่อชาร์ลีแล้ว -ฉาก ชาร์ลีตื่นขึ้นมา เห็นแม็กซ์กำลังช่วยฝึกซ้อมให้กับอะตอม เริ่มสร้างทัศนะคติที่ดีของแม็กซ์ที่มีต่อชาร์ลีแล้ว -ฉาก ก่อนขึ้นสังเวียน กับ เพลง give it a go เริ่มสร้างความเร้าใจแล้ว -ฉากหลังจาก อะตอม ปะทะ ทวินซีตี้ แม็กซ์ดึงไมค์แล้วประกาศ ท้าชกกับซุส เริ่มสร้างอารมณ์ฮึกเหิมแล้ว -ฉากหลังจากชาร์ลีถูกเจ้าหนี้ ซ้อมยับเยิน เจ้าหนี้ "เฮ้! เพื่อนของนายดูเหมือนถุงขยะโสโครกเลยนะ เจ้าเด็กน้อย" แม็กซ์ "เขาเป็นพ่อของผมนะ" เริ่มแสดงความรู้สึกดีๆ ออกมาแล้ว -ฉากส่งตัวแม็กซ์ให้ป้า ชาร์ลี "พ่อรู้สึกเหนื่อยล้า ก็ได้.. ลูกต้องการอะไรจากพ่อละ" แม็กซ์ " ผมอยากให้พ่อสู้เพื่อผม นั่นละเป็นสิ่งที่ผมต้องการ" เริ่มกระตุ้นต่อมน้ำตาแล้ว -ฉากหน้าประตูบ้าน ของป้าแม็กซ์ ชาร์ลี พูดกับ แม็กซ์ " พ่อขอโทษเรื่องที่เกิดขึ้นกับแม่ และพ่อก็ไม่สามารถย้อนเวลากลับไปได้ แต่พ่ออยู่ตรงนี้แล้ว ถ้าลูกยังอยากจะสู้ต่อ พ่อก็พร้อมที่จะสู้" เริ่มแสดงให้เห็นความสำนึกผิดและอารมณ์ที่ฮึกเหิม -ฉากใช้ฟังก์ชั่นเงา อะตอม ปะทะ ซุส ชาร์ลี พูดกับ อะตอม "ฉันรู้ว่าแกไม่ได้ยิน แต่แกเห็นฉัน มองมาที่ฉัน ดูฉันไว้นะ!" สร้างชีวิตให้กับอะตอมอีกแล้ว แม็กซ์ พูดกับ ชาร์ลี "พ่อรู้ตัวมั้ยว่ากำลังพูดกับหุ่นยนต์อยู่" สร้างรอยยิ้มให้กับแม็กซ์ กับผมด้วยนะ -ฉาก อะตอมไม่ยอม ปะทะ ซุส เริ่มสร้างความรู้สึกเก็บกด ค่อยๆเพิ่มขึ้นทีละน้อย จนถึงเวลาที่เหมาะสม ก็ปล่อยให้มันทะลักออกมา ทำให้ผมต้องกระโดดขึ้นมาแล้วร้อง เย้! พร้อมกับน้ำตาเล็ดเล็กน้อย -ฉาก หลังจาก อะตอม ปะทะ ซุส ชาร์ลี "พ่อต้องการให้ลูกรู้... ไม่สิ.... พ่ออยากให้ลูกรู้..." แม็กซ์ "ไม่ต้องเป็นห่วงครับพ่อ…ความลับนี้รู้กันแค่เราสองคน" น้ำตาทะลักเลยครับ ปล ภาพชาร์ลี ออกลีลา ท่วงท่าการชกข้างสนาม เพื่อใช้ฟังก์ชั่นเงาควบคุมอะตอม เป็นการสร้างชีวิตใหม่ที่หายไปของชาร์ลีให้กลับมา และยังเป็นการสร้างรอยยิ้มให้กลับ เบลีย์ แม็กซ์ และผมด้วย ถือเป็นภาพในความทรงจำของหนังเรื่องนี้เลย "ความลับนี้รู้กันแค่เราสองคน" ก็เป็นประโยค แห่งความทรงจำเช่นกันครับ
Bookmarks